อาคารถล่ม

ถอดบทเรียนอาคารถล่ม มุมมองทางวิศวกรรม นิติวิทยาศาสตร์ และการกู้ภัย

จากเเหตุการณ์อาคารถล่มแต่ละครั้งจากแผ่นดินไหวคือโศกนาฏกรรมที่สร้างความสูญเสียครั้งใหญ่ ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน เบื้องหลังซากปรักหักพังนั้นเต็มไปด้วยบทเรียนราคาแพงที่รอให้เราศึกษา ทำความเข้าใจ และนำไปปรับใช้ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เราจะพาไปสำรวจแง่มุมสำคัญของอาคารถล่ม ผ่านเลนส์ของวิศวกรรม นิติวิทยาศาสตร์ และยุทธวิธีการกู้ภัย

สาเหตุหลักของการถล่ม จากภัยพิบัติต่างๆ

การเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงเบื้องหลังโศกนาฏกรรมอาคารถล่มนั้นสำคัญและจำเป็นอย่างมาก ไม่เพียงเพื่อการเยียวยา แต่เพื่อการป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย มุมมองทางวิศวกรรมช่วยให้เราเห็นถึงความเปราะบางและความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในโครงสร้าง ขณะที่นิติวิทยาศาสตร์คือกระบวนการสืบค้นความจริงอย่างเป็นระบบ เพื่อชี้ชัดถึง สาเหตุของปัญหา อาคารถล่มส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน โดยสาเหตุหลักๆ สามารถแบ่งได้ดังนี้

building collapse

1. ปัจจัยด้านการออกแบบและวิศวกรรม

เพราะจุดเริ่มต้นของความเสี่ยงอาจเกิดขึ้นตั้งแต่บนกระดาษออกแบบ โดยขั้นตอนการออกแบบนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญแค่ความสวยงาม ความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยแต่ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ความทนทานต่อภัยธรรมชาติตามมาด้วยนั่นเอง

  1. ความผิดพลาดในการคำนวณ การคำนวณน้ำหนักบรรทุก (Load) ทั้งน้ำหนักคงที่ (Dead Load) น้ำหนักจร (Live Load) แรงลม แรงแผ่นดินไหว หรือแรงอื่นๆ ผิดพลาด หรือประเมินต่ำเกินไป ทำให้องค์ประกอบโครงสร้างมีความสามารถในการรับน้ำหนักไม่เพียงพอและเป็นหนึ่งในความเสี่ยงต่อการถล่มได้
  2. การมองข้ามแรงกระทำ ถ้าหากไม่ได้พิจารณาแรงกระทำบางประเภทที่อาจเกิดขึ้น หรือผลกระทบร่วมกันของแรงหลายๆ อย่าง เช่น การขยายตัว/หดตัวจากอุณหภูมิ หรือแรงดันดิน/น้ำใต้ดิน
  3. แนวคิดการออกแบบที่ไม่เหมาะสม การเลือกใช้ระบบโครงสร้างที่ไม่สอดคล้องกับลักษณะการใช้งาน สภาพแวดล้อม หรือขาดความซ้ำซ้อน (Redundancy) ที่เพียงพอ หากส่วนใดส่วนหนึ่งเสียหาย อาจนำไปสู่การพังทลายต่อเนื่อง (Progressive Collapse) นั่นเอง
  4. แบบก่อสร้างและข้อกำหนดที่ไม่ชัดเจน การจัดทำแบบที่ไม่ละเอียด หรือมีข้อกำหนดคลุมเครือ อาจนำไปสู่การตีความที่ผิดพลาดในขั้นตอนการก่อสร้างได้

2. ปัจจัยด้านการก่อสร้าง

ความบกพร่องในระหว่างกระบวนการก่อสร้างเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด และมักจะเชื่อมโยงกับการลดต้นทุนในการก่อสร้างด้วย

  • การลดต้นทุนอย่างไม่เหมาะสม การเลือกใช้วัสดุราคาถูกแต่คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน หรือการลดขั้นตอนที่จำเป็นในการก่อสร้างเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลา ถือเป็นความเสี่ยงสูง ดังที่แหล่งข้อมูลระบุว่า “often linked with cutting costs for financial motivations”
  • วัสดุไม่ได้มาตรฐาน/ปลอม การใช้วัสดุที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในแบบ เช่น เหล็กเส้นที่กำลังรับแรงดึงต่ำกว่ามาตรฐาน คอนกรีตที่กำลังอัดต่ำ หรือแม้แต่วัสดุปลอมแปลง เป็นการบั่นทอนความแข็งแรงของโครงสร้างโดยตรง
  • การผสมคอนกรีตผิดพลาด/การเทคอนกรีตที่ไม่เหมาะสม สัดส่วนผสมที่ไม่ถูกต้อง หรือขั้นตอนการเท การจี้ และการบ่มคอนกรีตที่ไม่ดีพอ ทำให้คอนกรีตมีความแข็งแรงต่ำและเกิดรูพรุน
  • ขาดการควบคุมคุณภาพ (Quality Control – QC) การก่อสร้างที่ไม่มีการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดเพียงพอ การละเลยการทดสอบความแข็งแรงของวัสดุ หรือการปล่อยให้มีการก่อสร้างที่เบี่ยงเบนไปจากแบบนั่นเอง

ปัจจัยด้านฐานรากของอาคาร

ฐานรากของอาคารนั้นเปรียบเสมือนเท้าของอาคาร หากไม่มั่นคงแข็งแรง ย่อมส่งผลกระทบต่อทั้งโครงสร้างไปด้วย

  • ความไม่มั่นคงของชั้นดิน การก่อสร้างบนชั้นดินที่ไม่เสถียร ดินอ่อน หรือดินที่มีการเปลี่ยนแปลง (เช่น การทรุดตัวไม่เท่ากัน) โดยไม่มีการปรับปรุงคุณภาพดินหรือออกแบบฐานรากให้เหมาะสม
  • การออกแบบ/ก่อสร้างฐานรากไม่เพียงพอ ขนาดหรือชนิดของฐานราก (เช่น ฐานแผ่, เสาเข็ม) ไม่เหมาะสมกับน้ำหนักอาคารและสภาพดิน หรือมีการก่อสร้างฐานรากที่ผิดพลาด ไม่ได้มาตรฐาน

การสืบหาความจริงเบื้องหลังอาคารถล่มทำไมถึงสำคัญ

เมื่ออาคารถล่ม การสอบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์ (Forensic Engineering Investigation) ไม่ใช่เพียงการหาคนผิด แต่คือกระบวนการที่สำคัญอย่างยิ่งเพื่อรู้ถึงสาเหตุและคิดวิธีป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีกในอนาคต

building-collapse
  1. เป้าหมายเพื่อค้นหาความจริง ป้องกันเหตุซ้ำรอย
    • ค้นหาความจริง ระบุสาเหตุทางเทคนิคที่แท้จริงของการถล่มอย่างเป็นกลางและมีหลักการทางวิทยาศาสตร์รองรับ เพื่อให้เข้าใจว่าเกิดความผิดพลาดที่จุดใดในระบบ ตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้าง การใช้วัสดุ ไปจนถึงการบำรุงรักษา
    • ป้องกันเหตุซ้ำรอย บทเรียนที่ได้จากการสอบสวนจะนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องในมาตรฐานการออกแบบ, กฎหมายควบคุมอาคาร, ขั้นตอนการก่อสร้าง และแนวทางการตรวจสอบบำรุงรักษา เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันในอนาคต
  2. บทบาท การทำความเข้าใจลำดับเหตุการณ์ความล้มเหลว (Failure Chain Analysis)
    • การถล่มมักไม่ใช่ผลจากความล้มเหลว ณ จุดเดียว แต่เป็น “ห่วงโซ่ของความบกพร่อง” (Failure Chain) ที่เหตุการณ์หนึ่งนำไปสู่อีกเหตุการณ์หนึ่ง การสอบสวนจะพยายามลำดับเหตุการณ์เหล่านี้ เพื่อให้เข้าใจว่าความบกพร่องเริ่มต้นที่ใด และมันส่งผลต่อเนื่องจนทำให้โครงสร้างทั้งหมดพังทลายลงได้อย่างไร

กระบวนการและเครื่องมือในการสอบสวน

การสอบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ โดยมีขั้นตอนและเครื่องมือสำคัญคือ

  1. การตั้งคำถามหลัก การสอบสวนเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามพื้นฐานเพื่อกำหนดขอบเขตและทิศทาง
    • โครงสร้างล้มเหลวได้อย่างไรและทำไม? (How and Why?)
    • ลำดับเหตุการณ์ของการถล่มเป็นอย่างไร? (Sequence of Events?)
    • มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าหรือไม่? (Warning Signs?) ถ้ามี ทำไมถึงถูกมองข้าม?
    • ใครคือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในขั้นตอนที่อาจเป็นสาเหตุ? (Responsibility – แม้เป้าหมายหลักคือทางเทคนิค แต่ข้อมูลนี้จำเป็น)
    • มีความล้มเหลวทางวิศวกรรมใดที่เป็นต้นเหตุ? (Underlying Engineering Failures?)
  2. การวิเคราะห์แรงและขีดจำกัดการรับน้ำหนัก (Forces and Load Thresholds)
    • ประเมินแรงกระทำต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริง ณ เวลาที่เกิดเหตุ ทั้งน้ำหนักบรรทุกคงที่, น้ำหนักบรรทุกจร และแรงจากสภาพแวดล้อม
    • คำนวณหรือทดสอบหาขีดจำกัดความสามารถในการรับน้ำหนักที่แท้จริงขององค์อาคารที่เสียหาย โดยพิจารณาจากแบบก่อสร้างเดิมและสภาพวัสดุที่เก็บได้จากซาก
    • เปรียบเทียบแรงกระทำกับความสามารถในการรับน้ำหนัก เพื่อดูว่าเกินขีดจำกัดหรือไม่ และตรวจสอบว่าการก่อสร้างเป็นไปตามมาตรฐานที่ควรจะเป็นหรือไม่
  3. การตรวจสอบเส้นทางการถ่ายน้ำหนัก (Load Paths) และการหาจุดอ่อน
    • วิเคราะห์ว่าน้ำหนักและแรงต่างๆ ควรจะถ่ายเทผ่านองค์ประกอบโครงสร้าง (พื้น -> คาน -> เสา -> ฐานราก -> ดิน) อย่างไรตามหลักการออกแบบ
    • ตรวจสอบซากอาคารและหลักฐาน เพื่อระบุว่า “จุดอ่อน” (Weak Link) หรือความล้มเหลวเริ่มต้นเกิดขึ้นที่องค์ประกอบใดในเส้นทางการถ่ายน้ำหนักนั้น ซึ่งอาจเกิดจากวัสดุ การออกแบบ หรือการก่อสร้าง ณ จุดนั้น
  4. การเก็บหลักฐาน ณ ที่เกิดเหตุ และการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ
    • การบันทึกสภาพที่เกิดเหตุ ถ่ายภาพ, วิดีโอ, ทำแผนผังตำแหน่งของซากปรักหักพังอย่างละเอียด ก่อน การเคลื่อนย้าย เพราะตำแหน่งที่ชิ้นส่วนตกอยู่สามารถบอกใบ้ถึงลักษณะและลำดับการถล่มได้
    • การเก็บตัวอย่าง เก็บตัวอย่างวัสดุที่สำคัญ เช่น ชิ้นส่วนคอนกรีต, เหล็กเส้น, เหล็กรูปพรรณ, สลักเกลียว, ตัวอย่างดินจากฐานราก เพื่อนำไปทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมีในห้องปฏิบัติการ (เช่น กำลังอัดคอนกรีต, กำลังดึงเหล็ก, ส่วนผสมทางเคมี, การกัดกร่อน)
    • การตรวจสอบเอกสาร รวบรวมและวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น แบบก่อสร้าง, รายการคำนวณ, รายงานผลทดสอบวัสดุ, บันทึกการก่อสร้าง, รายงานการตรวจสอบอาคาร, ประวัติการซ่อมแซม
  5. การใช้เทคโนโลยีช่วย
    • แบบจำลองคอมพิวเตอร์ (Computer Modeling / Finite Element Analysis – FEA) สร้างแบบจำลองโครงสร้างอาคารในคอมพิวเตอร์ เพื่อจำลองพฤติกรรมภายใต้แรงกระทำต่างๆ และทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับสาเหตุและลำดับการพังทลาย
    • การสแกนด้วยเลเซอร์ (Laser Scanning) และ โฟโตแกรมเมตรี (Photogrammetry) สร้างแบบจำลอง 3 มิติที่แม่นยำของซากอาคารหรือส่วนที่ยังเหลืออยู่ เพื่อใช้วิเคราะห์รูปทรงเรขาคณิต การเสียรูป และตำแหน่งของความเสียหาย
    • โดรน (Drones) ใช้สำรวจและบันทึกภาพจากมุมสูงหรือในพื้นที่ที่เข้าถึงยากและเป็นอันตราย

เพราะการเข้าใจสาเหตุผ่านมุมมองวิศวกรรมและการสืบค้นอย่างเป็นระบบด้วยนิติวิทยาศาสตร์ คือกุญแจสำคัญในการถอดบทเรียนจากอาคารถล่ม เพื่อนำไปสู่การสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นในอนาคตนั่นเอง

 แนวทางการป้องกัน

แม้ว่าการออกแบบและก่อสร้างที่ได้มาตรฐานจะเป็นปราการด่านแรก แต่ความเสี่ยงต่อการถล่มยังคงมีอยู่ตลอดอายุการใช้งานของอาคาร การตระหนักถึงสัญญาณอันตราย การป้องกันอย่างทันท่วงที และความเข้าใจในแนวทางการจัดการ จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการป้องกันความเสียหายรุนแรงและการสูญเสียชีวิต

การตระหนักถึงความเสี่ยงของอาคารที่กำลังจะถล่

ต้องไม่ประมาทโดยเด็ดขาด อาคารที่แสดงสัญญาณว่ากำลังจะถล่มถือเป็น “หนึ่งในภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดต่อชีวิตและทรัพย์สินของมนุษย์” สภาวะที่ไม่มั่นคงสามารถเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว และการถล่มอาจเกิดขึ้นโดยแทบไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า การตระหนักถึงความเสี่ยงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินการป้องกันและรับมือที่มีประสิทธิภาพ

การตรวจจับสัญญาณเตือน

ธรรมชาติมักส่งสัญญาณเตือนก่อนที่โครงสร้างอาคารจะยืนไม่ไหว การสังเกตและการตรวจวัดสัญญาณเหล่านี้อย่างละเอียดเป็นกุญแจสำคัญในการประเมินความเสี่ยงขั้นแรก ดังนี้

  1. สัญญาณที่มองเห็นได้ (Visible Signs) สัญญาณเหล่านี้มักเป็นสิ่งแรกที่ผู้ใช้อาคารหรือผู้ตรวจสอบสังเกตเห็น
    • รอยแตกร้าว (Cracks) โดยเฉพาะรอยแตกร้าวใหม่ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว หรือปรากฏในลักษณะที่บ่งชี้ถึงการรับน้ำหนักเกินกำลัง เช่น รอยแตกร้าวเฉียงขนาดใหญ่บนผนังรับน้ำหนัก หรือรอยแตกร้าวรอบๆ จุดต่อของคานและเสา
    • เสาคดงอหรือบิดเบี้ยว (Buckling or Bowing Columns) เสาที่แสดงอาการโก่งเดาะหรือบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด เป็นสัญญาณอันตรายร้ายแรงว่าเสาอาจไม่สามารถรับน้ำหนักได้อีกต่อไป
    • พื้นหรือคานแอ่นตัว/ทรุดตัว (Sagging Floors/Beams, Settlement) การแอ่นตัวที่ผิดปกติของพื้นหรือคาน หรือการทรุดตัวของพื้นอย่างเห็นได้ชัด อาจบ่งชี้ถึงความอ่อนแอของโครงสร้างหรือปัญหาที่ฐานราก
    • ประตูและหน้าต่างติดขัด/เปิด-ปิดยาก (Sticking Doors/Windows) การที่กรอบประตูหรือหน้าต่างบิดเบี้ยวจนทำให้เปิด-ปิดลำบาก อาจเป็นผลมาจากการเสียรูปของโครงสร้างอาคารโดยรวม
    • เสียงผิดปกติ: เสียงลั่นเปรี๊ยะๆ (popping), เสียงแตก (cracking), หรือเสียงเสียดสี (grinding) ที่ดังมาจากโครงสร้างอาคาร อาจเป็นสัญญาณของการเคลื่อนตัวหรือความเสียหายที่กำลังเกิดขึ้น
    • เศษวัสดุร่วงหล่น การมีเศษปูนหรือวัสดุอื่นๆ ร่วงหล่นจากเพดานหรือผนัง
  2. การใช้เครื่องมือตรวจวัด (Instrumental Monitoring) ในกรณีที่ต้องการข้อมูลที่แม่นยำ หรือเมื่อสงสัยว่ามีความเสี่ยงแต่ยังไม่เห็นสัญญาณชัดเจน การใช้เครื่องมือเฉพาะทางสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกได้
    • เลเซอร์สแกน (Laser Scanning) สร้างแบบจำลอง 3 มิติของอาคาร ทำให้สามารถตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงรูปทรง การเคลื่อนตัว หรือการทรุดตัวได้อย่างแม่นยำเมื่อเปรียบเทียบกับการสแกนครั้งก่อนๆ
    • เกจวัดความเครียด (Strain Gauges) อุปกรณ์ขนาดเล็กที่ติดตั้งบนองค์ประกอบโครงสร้างเพื่อวัดระดับความเครียด (การยืดหรือหดตัว) ของวัสดุ บ่งชี้ได้ว่าองค์ประกอบนั้นรับน้ำหนักมากน้อยเพียงใด หรือใกล้ถึงขีดจำกัดความปลอดภัยหรือยัง
    • เครื่องวัดการเคลื่อนตัว (Displacement Sensors / Tiltmeters) ใช้ตรวจวัดการเคลื่อนตัวในแนวดิ่งหรือแนวราบ และการเอียงตัวของอาคารหรือองค์ประกอบโครงสร้าง

เมื่อตรวจพบสัญญาณเตือนที่น่าเชื่อถือหรือข้อมูลจากเครื่องมือวัดบ่งชี้ถึงอันตราย การดำเนินการตอบสนองทันทีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งการรอช้าอาจหมายถึงความแตกต่างระหว่างการกอบกู้อาคารได้กับการเกิดโศกนาฏกรรม การเตือนอย่างรวดเร็วอาจช่วยหยุดยั้งหรือชะลอการลุกลามของความเสียหาย เพิ่มเวลาสำหรับการอพยพ และเปิดโอกาสในการเสริมความมั่นคงให้กับโครงสร้าง

ขั้นตอนการปฏิบัติเบื้องต้นในการป้องกัน

การป้องกันอาคารที่อยู่ในภาวะเสี่ยงถล่มเป็นภารกิจที่ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว รอบคอบ และเป็นระบบ โดยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้

  1. การประเมินสถานการณ์และหาสาเหตุเบื้องต้น วิศวกรผู้เชี่ยวชาญต้องเข้าประเมินสภาพอาคารอย่างเร่งด่วน วิเคราะห์สัญญาณเตือนที่พบ ตรวจสอบแบบก่อสร้าง (ถ้ามี) และพยายามระบุสาเหตุเบื้องต้นของปัญหาให้เร็วที่สุด เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขที่ตรงจุด
  2. การเสริมความมั่นคงชั่วคราว (Stabilizing) การค้ำยัน (Shoring) นี่คือขั้นตอนสำคัญลำดับแรกๆ ในการปฏิบัติงาน เพื่อป้องกันการถล่มเพิ่มเติมและสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงานและผู้ที่อาจยังอยู่ภายในอาคาร
    • หลักการ ใช้โครงสร้างค้ำยันชั่วคราว (เช่น เสาเหล็ก, ไม้, หรือระบบค้ำยันสำเร็จรูป) เพื่อรับและถ่ายเทน้ำหนักบรรทุกจากส่วนที่อ่อนแอหรือเสียหายไปยังส่วนที่แข็งแรงกว่า หรือลงสู่ฐานรากโดยตรง
    • เป้าหมาย ลดความเค้น (Stress) ในองค์ประกอบที่อยู่ในภาวะวิกฤต, หยุดยั้งการเคลื่อนตัวหรือการเสียรูปเพิ่มเติม, และสร้างเสถียรภาพชั่วคราวให้กับโครงสร้าง
  3. การแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด (Spot Repairs) หลังจากค้ำยันเพื่อสร้างความมั่นคงแล้ว อาจมีการแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดเพื่อเสริมความแข็งแรงเบื้องต้น เช่น
    • การฉีดอัดแรงดัน (Injection) ฉีดอีพ็อกซี่ (Epoxy) หรือโพลียูรีเทน (Polyurethane) เข้าไปในรอยแตกร้าวของคอนกรีตเพื่อประสานเนื้อคอนกรีตและป้องกันน้ำซึม หรือฉีดซีเมนต์เกราท์ (Cement Grout) เพื่อเติมเต็มโพรงหรือเสริมกำลัง
    • การใช้พอลิเมอร์เสริมแรงด้วยเส้นใย (Fiber-Reinforced Polymer – FRP) พันหรือติดแผ่นวัสดุ FRP ที่มีความแข็งแรงสูงเข้ากับเสาหรือคานคอนกรีต เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับแรงดัดหรือแรงเฉือน
  4. การจัดการปัญหาฐานราก (Foundation Strengthening) หากการประเมินพบว่าปัญหาเกิดจากฐานราก การแก้ไขที่ฐานรากเป็นสิ่งจำเป็น
    • การเสริมฐานราก (Underpinning): เป็นการสร้างฐานรากใหม่เสริมหรือแทนที่ฐานรากเดิมที่ทรุดตัวหรือเสียหาย โดยอาจขุดลงไปถึงชั้นดินที่แข็งแรงกว่า หรือใช้วิธีการอื่นๆ เช่น การกดเสาเข็มขนาดเล็ก (Micropiles)
    • การปรับปรุงเสถียรภาพของดิน (Soil Stabilization) ใช้วิธีการต่างๆ เช่น การฉีดสารเคมีหรือซีเมนต์ลงไปในดิน (Grouting) เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและลดการทรุดตัวของชั้นดินใต้ฐานราก

ปฏิบัติการกู้ภัยเมื่อเผชิญกับเหตุอาคารถล่ม

เมื่อเกิดเหตุอาคารถล่มลงมาแล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็วและปลอดภัยที่สุด การทำงานในซากอาคารที่พึ่งถล่มมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะอาจเกิดการถล่มซ้ำซ้อน อันตรายจากวัสดุที่มีความแหลมคม หรือสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน ดังนั้น การมีแผนปฏิบัติการที่เป็นระบบและยึดหลักความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

แผนปฏิบัติการกู้ภัย 4 ขั้นตอน

หน่วยกู้ภัยส่วนใหญ่ใช้แผนปฏิบัติการที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและมีรากฐานมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แผนนี้แบ่งการทำงานออกเป็น 4 ขั้นตอนหลัก เพื่อให้การค้นหาและช่วยเหลือเป็นไปอย่างมีระบบและครอบคลุม ได้แก่

  1. การสำรวจ/ประเมิน และค้นหาบนพื้นผิว
  2. การค้นหาในช่องว่าง
  3. การเคลื่อนย้ายเศษซากที่เลือก
  4. การเคลื่อนย้ายเศษซากทั่วไป

B. ขั้นตอนที่ 1: การสำรวจ/ประเมิน และค้นหาบนพื้นผิว (Survey/Assessment & Surface Search)

นี่คือขั้นตอนแรกและถือว่าสำคัญมาก เพราะเป็นการวางรากฐานให้กับการทำงานทั้งหมด

สิ่งแรกที่ต้องทำคือ “ประเมินสถานการณ์” (Size-up) เพื่อความปลอดภัยของทีมกู้ภัยเอง ต้องมองภาพรวมทั้งหมด ครบทั้ง 6 ด้าน (รอบอาคาร 4 ด้าน, ด้านบน และด้านล่าง/ใต้ดิน ถ้ามี) เพื่อหาอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เช่น โครงสร้างส่วนอื่นที่เสี่ยงจะถล่มตามมา หรือวัสดุอันตรายต่างๆ สถิติบอกว่า ผู้รอดชีวิตประมาณครึ่งหนึ่งมักจะถูกพบบนพื้นผิว หรือใกล้เคียงจุดที่เข้าถึงง่ายในขั้นตอนนี้

แนวทางปฏิบัติหลัก

  • ค้นหาผู้รอดชีวิตบนพื้นผิว เร่งค้นหาและช่วยเหลือผู้ที่มองเห็นได้ หรือผู้ที่ติดอยู่แต่เข้าถึงได้ไม่ยาก
  • ควบคุมสาธารณูปโภค ตัดระบบไฟฟ้า, แก๊ส, น้ำประปา เพื่อป้องกันไฟไหม้, แก๊สระเบิด หรือน้ำท่วมซ้ำเติมสถานการณ์
  • ประเมินความเสียหายและอันตราย ดูว่าอาคารถล่มแบบไหน มีส่วนไหนยังอันตราย มีวัสดุแหลมคม ไฟ หรือสารเคมีรั่วไหลหรือไม่
  • จัดตั้งศูนย์บัญชาการ (ICS – Incident Command System) ตั้งศูนย์บัญชาการเพื่อควบคุมสั่งการ วางแผน และประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาช่วย
  • กำหนดเขตปฏิบัติงาน แบ่งพื้นที่เป็นเขตอันตรายสูงสุด (Hot Zone), เขตสนับสนุน (Warm Zone), และเขตปลอดภัย (Cold Zone) เพื่อควบคุมการเข้าออกและจัดการทรัพยากร

ขั้นตอนที่ 2 การค้นหาในช่องว่าง (Void Search)

เมื่อเคลียร์พื้นที่บนพื้นผิวและประเมินสถานการณ์เบื้องต้นแล้ว ขั้นต่อไปคือการค้นหาผู้ที่อาจติดอยู่ภายในซากอาคาร

  1. การระบุและเข้าถึงช่องว่าง ทีมกู้ภัยจะพยายามหา “ช่องว่าง” (Voids) หรือโพรงที่อาจเกิดขึ้นในซากอาคาร ซึ่งผู้ประสบภัยอาจติดอยู่และมีอากาศหายใจ เช่น ใต้แผ่นพื้น ใต้คาน หรือในซอกหลืบต่างๆ
  2. ทำความเข้าใจรูปแบบการถล่ม การรู้ว่าอาคารถล่มแบบไหนช่วยให้คาดเดาได้ว่าช่องว่างน่าจะอยู่ตรงไหน รูปแบบหลักๆ มี 4 แบบ
    • แบบแพนเค้ก (Pancake) พื้นแต่ละชั้นถล่มทับกันเป็นชั้นๆ ช่องว่างมักจะน้อย
    • แบบรูปตัววี (V-Shape) พื้นหรือหลังคาหักตรงกลาง ทำให้เกิดช่องว่างรูปตัววีที่ด้านข้าง
    • แบบพิงมีที่รองรับ (Supported Lean-to) แผ่นพื้นพังลงมาพิงกับผนังหรือส่วนอื่นที่ยังแข็งแรง ทำให้เกิดช่องว่างสามเหลี่ยมขนาดใหญ่
    • แบบพิงไม่มีที่รองรับ (Unsupported Lean-to) คล้ายแบบพิง แต่ส่วนที่รองรับไม่แข็งแรง เสี่ยงต่อการถล่มซ้ำ
  3. วิธีการค้นหา ต้องใช้วิธีการหลากหลายร่วมกันเพื่อเพิ่มโอกาสและยืนยันตำแหน่ง
    • ค้นหาด้วยตนเอง (Manual Search) ตะโกนเรียก และฟังเสียงตอบกลับหรือเสียงเคาะ
    • ค้นหาด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Search) ใช้ไมโครโฟนความไวสูง หรืออุปกรณ์จับการสั่นสะเทือน
    • ค้นหาโดยสุนัขกู้ภัย (K9 Search) สุนัขที่ฝึกมาโดยเฉพาะ สามารถดมกลิ่นผู้รอดชีวิตได้แม้จะอยู่ลึก
    • ค้นหาด้วยกล้องไฟเบอร์ออปติก (Fiber Optic Camera) สอดกล้องขนาดเล็กเข้าไปในซอกหรือรู เพื่อมองหาสิ่งผิดปกติหรือผู้ประสบภัย
  4. ความสำคัญของการค้ำยัน (Shoring) ก่อนที่ทีมกู้ภัยจะเข้าไปในช่องว่าง หรือเริ่มทำงานในจุดที่เสี่ยง ต้องทำการค้ำยันโครงสร้าง บริเวณนั้นให้มั่นคงแข็งแรงเสียก่อน เพื่อป้องกันการถล่มซ้ำลงมาทับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
  5. การตัดสินใจ กู้ภัย (Rescue) หรือ กู้ร่าง (Recovery) เป็นการตัดสินใจที่สำคัญและละเอียดอ่อน หากประเมินแล้วว่าโอกาสพบผู้รอดชีวิตมีน้อยมาก หรือเวลาผ่านไปนานจนเกินความหวัง อาจต้องเปลี่ยนจากการ “กู้ภัย” (เน้นช่วยชีวิต) เป็น “กู้ร่าง” (เน้นนำร่างผู้เสียชีวิตออกมา) ซึ่งจะส่งผลต่อวิธีการทำงานและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ขั้นตอนที่ 3 การเคลื่อนย้ายเศษซากที่เลือก (Selected Debris Removal)

ขั้นตอนนี้จะทำเมื่อระบุตำแหน่งที่คาดว่ามีผู้ประสบภัยติดอยู่ได้ค่อนข้างแน่ชัดแล้ว

  1. การเคลื่อนย้ายอย่างมีแบบแผน ไม่ใช่การรื้อแบบสะเปะสะปะ แต่เป็นการ เลือก เคลื่อนย้ายเศษซากบางส่วนอย่างระมัดระวัง เพื่อเปิดทางเข้าไปยังจุดที่ผู้ประสบภัยอยู่ โดยพิจารณาจากข้อมูลที่ได้จากขั้นตอนที่ 2 และรูปแบบการถล่ม
  2. ต้องใช้ความเชี่ยวชาญและเครื่องมือหนัก มักจะต้องใช้เทคนิคการชักรอก การตัด หรือการใช้อุปกรณ์/เครื่องจักรกลหนัก เช่น รถขุด รถเครน อย่างระมัดระวังและต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

ขั้นตอนที่ 4 การเคลื่อนย้ายเศษซากทั่วไป (General Debris Removal)

นี่เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการค้นหา

  1. ขั้นตอนสุดท้ายเมื่อจำเป็น จะทำก็ต่อเมื่อใช้วิธีอื่นๆ หมดแล้ว แต่ยังหาผู้สูญหายไม่พบ หรือไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่นอนได้
  2. การเคลื่อนย้ายและคัดแยกอย่างระมัดระวัง เศษซากทั้งหมดจะถูกเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่อย่างเป็นระบบ ไปยังจุดที่กำหนดไว้ใกล้ๆ แล้วทำการคัดแยกอย่างละเอียด เพื่อค้นหาร่างผู้เสียชีวิตหรือชิ้นส่วนร่างกายที่อาจหลงเหลืออยู่

ข้อพิจารณาและแนวปฏิบัติสำคัญในการปฏิบัติงาน

ตลอดทุกขั้นตอนของการกู้ภัย มีหลักการและข้อควรระวังที่ต้องยึดถือเสมอ เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัย

  1. ความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ต้องมีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย (Safety Officer) คอยประเมินความเสี่ยงตลอดเวลา, จำกัดจำนวนคนในพื้นที่อันตราย (Hot Zone) ให้เหลือน้อยที่สุด, และทุกคนต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ที่เหมาะสม
  2. เทคนิคการเข้าถึงและการทำงาน โดยทั่วไป การเข้าหาผู้ประสบภัยจาก ด้านบน มักจะปลอดภัยกว่า, การ ค้ำยันโครงสร้าง ต้องทำตามสภาพที่พบเจอและทำให้แข็งแรงที่สุด, ถ้าต้องขุดอุโมงค์ ควรใช้ เชือกนำทาง เพื่อเป็นเส้นทางเข้า-ออก
  3. การตรวจวัดสภาพแวดล้อม ต้องมีการตรวจวัดระดับออกซิเจน และก๊าซพิษหรือก๊าซไวไฟในพื้นที่ทำงานอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในที่อับอากาศหรือช่องว่าง
  4. การควบคุมและการสื่อสาร ใช้ ระบบควบคุมจำนวนบุคลากร (Accountability System) เช่น ป้ายชื่อ หรือระบบ Tag เพื่อให้รู้ตลอดเวลาว่าใครอยู่ที่ไหนในพื้นที่อันตราย และต้องมีการสื่อสารที่ชัดเจนระหว่างทีม
  5. การทบทวนหลังปฏิบัติการ (After Action Review – AAR) หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทุกครั้ง ควรมีการทบทวนสิ่งที่ทำไป ข้อดี ข้อผิดพลาด และบทเรียนที่ได้ เพื่อนำไปปรับปรุงการทำงานในครั้งต่อไป

การปฏิบัติการกู้ภัยในเหตุอาคารถล่มเป็นงานที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความท้าทาย การปฏิบัติตามขั้นตอนและหลักการความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด จะช่วยเพิ่มโอกาสในการช่วยเหลือผู้รอดชีวิต และลดความเสี่ยงต่อทีมกู้ภัยเอง

เหตุการณ์อาคารถล่มคือโศกนาฏกรรมที่ส่งผลกระทบรุนแรง แต่จากข้อมูลและบทเรียนที่เราได้ถอดออกมา จะเห็นได้ว่าสาเหตุหลักหลายประการ มักเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาที่เกิดจากการลดทอนมาตรฐานในขั้นตอนการออกแบบและการก่อสร้างเพื่อลดต้นทุน การ สอบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่การหาคำตอบว่า “ทำไม” อาคารถึงถล่ม แต่เพื่อเป็นบทเรียนป้องกันเหตุการณ์ซ้ำรอยในอนาคต นอกจากนี้ การตระหนักถึง สัญญาณเตือน ต่างๆ เมื่อพบความผิดปกติ สามารถช่วยบรรเทาความเสียหายหรือหยุดยั้งหายนะได้ทันท่วงที และท้ายที่สุด เมื่อเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น การมี แผนปฏิบัติการกู้ภัยที่เป็นระบบ 4 ขั้นตอน จะช่วยให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มความปลอดภัยให้กับทีมกู้ภัย

ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่เจ้าของอาคาร ผู้ออกแบบ ผู้รับเหมาก่อสร้าง ไปจนถึงหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแล ต้องร่วมมือกันสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยให้เกิดขึ้นจริง การเรียนรู้จากบทเรียนในอดีตและนำมาปรับปรุงแก้ไข คือหนทางเดียวที่จะช่วยลดความเสี่ยง และสร้างสรรค์ชุมชนและสังคมที่ผู้อยู่อาศัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยจากภัยอาคารถล่ม


Comments

No comments yet. Why don’t you start the discussion?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *