“ภาษีนำเข้า” หรือ Tariffs ไม่ใช่แค่ศัพท์ทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อน แต่เป็นเครื่องมือทรงพลังที่รัฐบาลทั่วโลกใช้มานานหลายศตวรรษ และยังคงเป็นประเด็นร้อนแรงที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาสินค้าในมือคุณ ความอยู่รอดของธุรกิจในประเทศ ไปจนถึงความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจ เคยสงสัยไหมว่าทำไมการประกาศขึ้นภาษีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ถึงสั่นสะเทือนตลาดหุ้นได้? หรือทำไม สงครามการค้า ถึงเป็นคำที่เราได้ยินบ่อยครั้ง? บทความนี้จะพาคุณไปไขคำตอบ ทำความเข้าใจกลไกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกำแพงภาษี สำรวจผลกระทบทั้งดีและร้าย และมองภาพรวมความสำคัญของมันในเวทีการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมแค่การประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ถึงสามารถสั่นสะเทือนตลาดหุ้นทั่วโลกได้? หรือทำไมคำว่า “สงครามการค้า” (Trade War) ถึงกลายเป็นคำที่เราได้ยินซ้ำๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา? อะไรคือเหตุผลที่แท้จริงเบื้องหลังการตัดสินใจใช้กำแพงภาษีเหล่านี้ และมันส่งผลดีหรือร้ายต่อใครกันแน่?
บทความนี้จะพาคุณไปไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ “ภาษีนำเข้า” เราจะมาทำความเข้าใจกลไกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกำแพงภาษีนี้อย่างง่ายๆ สำรวจเหตุผลที่รัฐบาลเลือกใช้มัน ผลกระทบที่ตามมาทั้งในด้านบวกและด้านลบ ทั้งต่อผู้บริโภค ธุรกิจ และเศรษฐกิจโดยรวม ตลอดจนมองภาพรวมความสำคัญของภาษีนำเข้าในภูมิทัศน์การค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ภาษีนำเข้า (Tariffs) คืออะไรกันแน่?
ภาษีนำเข้า หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า “Tariff” (ทาริฟฟ์) อาจฟังดูเป็นศัพท์เฉพาะทางเศรษฐกิจที่ไกลตัว แต่จริงๆ แล้ว มันคือกลไกสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้ามากมายที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้า ไปจนถึงอาหาร ลองมาทำความเข้าใจกันแบบง่ายๆ
ภาษีนำเข้าก็เปรียบเสมือน “ด่านเก็บค่าผ่านทาง” หรือ “กำแพง (ที่มองไม่เห็น)” ที่รัฐบาลของประเทศหนึ่งสร้างขึ้นมาสำหรับสินค้าและบริการที่ขนส่งมาจากต่างประเทศ เมื่อบริษัทในประเทศ A ต้องการส่งสินค้า เช่น รถยนต์ หรือผลไม้ ไปขายในประเทศ B รัฐบาลของประเทศ B อาจกำหนดว่า “ก่อนที่สินค้าของคุณจะเข้ามาขายในประเทศเราได้ คุณต้องจ่ายเงินค่าธรรมเนียมให้เราก่อนนะ” – เงินค่าธรรมเนียมที่ว่านี้คือ ภาษีนำเข้า ผลคือ สินค้าจากต่างประเทศชิ้นนั้นจะมีราคาต้นทุนสูงขึ้นทันทีเมื่อเดินทางมาถึงประเทศที่เรียกเก็บภาษี
ทำไมต้องจ่าย? แล้วเบื้องหลังการตั้งกำแพงภาษีคืออะไร
แล้วทำไมรัฐบาลถึงต้องตั้งด่านเก็บเงิน หรือสร้างกำแพงนี้ขึ้นมา? จากข้อมูลของแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถืออย่าง Investopedia และ BBC News พอจะสรุปเหตุผลหลักๆ ได้ดังนี้
- ทำให้ของนอกแพงขึ้น (Increase Price) คือเป้าหมายพื้นฐานที่สุด การเก็บภาษีทำให้สินค้าจากต่างประเทศมีราคาสูงขึ้นเมื่อวางขายในประเทศ ทำให้มันน่าสนใจน้อยลงในสายตาผู้บริโภคเมื่อเทียบกับสินค้าที่ผลิตในประเทศนั่นเอง
- จำกัดการนำเข้า (Limit Imports) เมื่อสินค้านำเข้าราคาแพงขึ้น คนก็อาจจะซื้อน้อยลง หรือหันไปซื้อสินค้าอื่นแทน โดยธรรมชาติแล้ว ปริมาณการนำเข้าสินค้าชนิดนั้นก็จะลดลง
- สร้างรายได้ให้รัฐ (Raise Revenue) เหมือนกับภาษีประเภทอื่นๆ เงินที่เก็บได้จากภาษีนำเข้าก็กลายเป็นรายได้ของรัฐบาล ซึ่งสามารถนำไปใช้จ่ายในโครงการต่างๆ หรือลดภาระภาษีด้านอื่นได้ (แม้บางครั้งนี่อาจไม่ใช่เป้าหมายหลัก)
- ปกป้องธุรกิจในประเทศ (Protect Domestic Industries) การทำให้คู่แข่งจากต่างประเทศขายของได้ยากขึ้น (เพราะราคาแพงขึ้น) เป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศตัวเองเติบโตและแข่งขันได้ง่ายขึ้น
- ใช้เป็นเครื่องมือต่อรองหรือแสดงจุดยืน (Influence/National Interests) บางครั้งภาษีนำเข้าก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการทูต หรือเพื่อกดดันประเทศอื่นให้ทำตามข้อเรียกร้องบางอย่าง หรือเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติในมิติอื่นๆ นอกเหนือจากเศรษฐกิจอีกด้วย
การภาษีนำเข้ามีกี่แบบ?
เวลาที่รัฐบาลจะเก็บภาษีนำเข้า เขามีวิธีคิดหลักๆ อยู่ 2 แบบ ที่เราควรรู้จักคือ
- ภาษีแบบคิดต่อหน่วย (Specific Tariff)
- อันนี้ตรงไปตรงมา คือเก็บเป็นจำนวนเงินคงที่ต่อหน่วยของสินค้านั้นๆ ไม่ว่าสินค้านั้นจะมีราคาถูกหรือแพงก็ตาม
- ภาษีแบบคิดตามมูลค่า (Ad-valorem Tariff) แบบนี้จะคิดเป็น เปอร์เซ็นต์ (%) ของมูลค่า (ราคา) สินค้า ที่นำเข้ามา แปลว่าสินค้าราคาแพงก็จะเสียภาษีเยอะกว่าสินค้าราคาถูก
- ตัวอย่าง
- เก็บภาษีนำเข้ากระเป๋าแบรนด์เนม 10% ของราคากระเป๋า (ถ้ากระเป๋าราคา 10,000 บาท เสียภาษี 1,000 บาท / ถ้าราคา 50,000 บาท เสียภาษี 5,000 บาท)
- เก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ของมูลค่ารถยนต์
ในบางกรณี รัฐบาลอาจใช้ ภาษีแบบผสม (Compound Tariff) คือเก็บทั้งสองแบบรวมกัน เช่น เก็บภาษีเสื้อเชิ้ตตัวละ 20 บาท บวกกับอีก 5% ของราคาเสื้อ เป็นต้น การเข้าใจประเภทของภาษีนำเข้าเหล่านี้ช่วยให้เราเห็นภาพชัดขึ้นว่า การเก็บภาษีแต่ละแบบจะส่งผลต่อราคาสุดท้ายของสินค้าที่เราซื้อแตกต่างกันอย่างไรครับ
ผลกระทบของภาษีนำเข้า
เมื่อรัฐบาลตัดสินใจสร้างกำแพงภาษีนำเข้าขึ้นมา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นมักจะแผ่ขยายออกไปเป็น “ระลอกคลื่น” (Ripple Effect) ที่ส่งผลต่อภาคส่วนต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ คำถามสำคัญคือ แล้วใครล่ะคือผู้ที่ได้รับประโยชน์ และใครคือผู้ที่ได้รับผลกระทบ? ภาพที่เรามักเห็นอาจไม่ได้ตรงกับความเป็นจริงเสมอไป
ฝ่ายที่สนับสนุนการใช้ภาษีนำเข้า มักจะฉายภาพของผลดีที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ดังนี้
- รัฐบาลมีรายได้เพิ่ม แน่นอนว่าการเก็บภาษีคือการเพิ่มรายได้เข้ารัฐ ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว รัฐบาลสามารถนำเงินส่วนนี้ไปใช้พัฒนาประเทศ ลดการขาดดุลงบประมาณ หรือลดภาระภาษีด้านอื่นให้กับประชาชนได้
- ธุรกิจในประเทศแข็งแรงขึ้น นี่คือเป้าหมายหลักของการปกป้อง! เมื่อสินค้านำเข้าแพงขึ้น สินค้าที่ผลิตในประเทศก็ควรจะแข่งขันได้ดีขึ้น ผู้คนหันมาซื้อของในประเทศมากขึ้น ทำให้ธุรกิจท้องถิ่นเติบโต จ้างงานเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจในประเทศคึกคัก
- มีอำนาจต่อรองมากขึ้น การใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือ สามารถเพิ่มอำนาจการเจรจาต่อรองกับประเทศคู่ค้าในประเด็นอื่นๆ ได้ หรือใช้เป็นแรงกดดันให้ประเทศอื่นปรับเปลี่ยนนโยบายตามที่ต้องการ
อย่างไรก็ตาม ในโลกแห่งความเป็นจริง ผลกระทบของภาษีนำเข้ามักซับซ้อนกว่านั้น และบ่อยครั้งก็นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ หรือส่งผลเสียมากกว่าผลดี
- ผู้บริโภคกระเป๋าฉีก นี่คือผลกระทบที่ชัดเจนและส่งผลต่อคนส่วนใหญ่โดยตรง เมื่อสินค้านำเข้าถูกเก็บภาษีเพิ่ม ต้นทุนที่สูงขึ้นนั้นมักจะถูก “ผลักภาระ” มายังผู้บริโภคคนสุดท้าย ทำให้เราต้องซื้อสินค้านั้นในราคาที่แพงขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่สินค้าที่ผลิตในประเทศเองก็อาจมีราคาสูงขึ้นได้ หากกระบวนการผลิตต้องพึ่งพา วัตถุดิบ ชิ้นส่วน หรือเครื่องจักรที่นำเข้า ซึ่งโดนภาษีไปด้วย (เช่น รถยนต์ที่ผลิตในประเทศแต่ใช้เหล็กหรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์นำเข้า) นักเศรษฐศาสตร์หลายคนจึงเตือนว่า ภาษีนำเข้ามักจะลงเอยด้วยการทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น
- ธุรกิจในประเทศอาจเฉื่อยชา แม้จะดูเหมือนเป็นการปกป้อง แต่การลดการแข่งขันจากสินค้านำเข้าอาจกลายเป็นดาบสองคม อุตสาหกรรมในประเทศที่ได้รับการปกป้องมากเกินไป อาจ ขาดแรงจูงใจในการพัฒนาประสิทธิภาพ นวัตกรรม หรือลดต้นทุน เพราะไม่มีแรงกดดันจากคู่แข่งภายนอก ในระยะยาวอาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงได้ (ตามที่ Investopedia ตั้งข้อสังเกต)
- ความตึงเครียดระหว่างประเทศ การตั้งกำแพงภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากถูกมองว่าไม่เป็นธรรมหรือมีเป้าหมายทางการเมือง มักจะสร้างความไม่พอใจและความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ทันที ประเทศที่ถูกเก็บภาษีมักมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เป็นมิตร
- สงครามการค้า (Trade War) นี่คือผลกระทบที่น่ากังวลที่สุด! เมื่อประเทศ A ขึ้นภาษีสินค้าจากประเทศ B เป็นเรื่องปกติที่ประเทศ B จะตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจากประเทศ A คืนเช่นกัน การตอบโต้ไปมานี้สามารถบานปลายกลายเป็น “สงครามการค้า” (Trade War) ที่แต่ละฝ่ายพยายามสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้แก่กัน แต่สุดท้ายแล้ว มักจะ ไม่มีผู้ชนะอย่างแท้จริง ทั้งสองฝ่าย (หรือมากกว่านั้น) ต่างก็เจ็บตัว ผู้บริโภคเดือดร้อน และเศรษฐกิจโลกโดยรวมก็ได้รับผลกระทบ (ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในยุคหลังคือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หรือความตึงเครียดทางการค้าที่สหรัฐฯ มีกับแคนาดาและสหภาพยุโรปในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์)
- ตลาดปั่นป่วน การประกาศใช้หรือแม้แต่เพียงแค่ขู่ว่าจะใช้ภาษีนำเข้า ก็สามารถสร้างความผันผวนอย่างรุนแรงให้กับตลาดการเงินและตลาดหุ้นทั่วโลกได้ทันที นักลงทุนมักกังวลว่าภาษีใหม่จะ เพิ่มต้นทุน ลดผลกำไรของบริษัทต่างๆ (โดยเฉพาะบริษัทที่พึ่งพาการนำเข้า-ส่งออก หรือมีห่วงโซ่อุปทานระดับโลก) และ สร้างความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งนำไปสู่การเทขายหุ้นและความผันผวนของค่าเงิน (ตามที่ BBC News รายงานถึงปฏิกิริยาของตลาดต่อการประกาศภาษีของรฐบาลทรัมป์)
ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของภาษีนำเข้า
แม้ว่าข่าวคราวเรื่องภาษีนำเข้าและสงครามการค้าจะดูเป็นเรื่องร้อนแรงในยุคปัจจุบัน แต่ความจริงแล้ว แนวคิดเรื่องการใช้กำแพงภาษีเพื่อควบคุมการค้านั้นมีมานานนับศตวรรษ ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิดและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับภาษีนำเข้ามาโดยตลอด

ย้อนกลับไปในยุคก่อนสมัยใหม่ โดยเฉพาะในยุโรป แนวคิดทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า “พาณิชย์นิยม” (Mercantilism) ได้รับความนิยมอย่างสูง ระบบคิดนี้เชื่อว่าความมั่งคั่งของชาติวัดกันที่สินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น ทองคำ เงิน และที่ดิน การค้าถูกมองว่าเป็น “เกมที่ผลรวมเป็นศูนย์” (Zero-sum Game) หมายความว่าถ้าประเทศหนึ่งได้ประโยชน์ อีกประเทศหนึ่งก็ต้องเสียประโยชน์
ภายใต้แนวคิดนี้ การนำเข้าสินค้าถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะหมายถึงการที่ทองคำและเงินตราจะไหลออกนอกประเทศ ในทางกลับกัน การส่งออกคือสิ่งที่ดี เพราะนำความมั่งคั่งเข้ามา ดังนั้น รัฐบาลในยุคนั้นจึงพึ่งพา “ภาษีนำเข้า” อย่างหนัก และบางครั้งถึงขั้น “ห้ามค้าขาย” (Trade Ban) สินค้าบางชนิดโดยสิ้นเชิง เพื่อกีดกันสินค้าจากต่างชาติและส่งเสริมการผลิตในประเทศ
ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคล่าอาณานิคม ประเทศเจ้าอาณานิคมมักจะนำเข้าวัตถุดิบราคาถูกจากดินแดนในอาณัติ (ซึ่งมักถูกห้ามไม่ให้ขายวัตถุดิบนี้ให้ใครอื่น) แล้วนำมาผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปขายกลับไปยังอาณานิคม โดยตั้ง “กำแพงภาษีสูงลิ่ว” เพื่อให้แน่ใจว่าอาณานิคมจะซื้อสินค้าจากประเทศแม่เท่านั้น
ยุคเสรีภาพทางการค้า
อย่างไรก็ตาม แนวคิดพาณิชย์นิยมเริ่มถูกท้าทายโดยนักคิดยุคใหม่ อดัม สมิธ (Adam Smith) ในหนังสือเล่มสำคัญของเขา “The Wealth of Nations” ได้ตั้งคำถามต่อระบบคิดที่เน้นการกักตุนและกีดกันทางการค้า เขาเสนอว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการค้าเสรี
ต่อมา เดวิด ริคาร์โด (David Ricardo) ได้พัฒนาแนวคิดเรื่อง “ความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ” (Comparative Advantage) ซึ่งอธิบายว่า แม้ประเทศหนึ่งอาจจะผลิตสินค้าทุกอย่างได้ดีกว่าอีกประเทศ แต่ก็ยังคงมีประโยชน์ที่ทั้งสองประเทศจะ “เน้นผลิตในสิ่งที่ตนเองถนัดที่สุด (หรือเสียเปรียบน้อยที่สุด) แล้วนำมาค้าขายแลกเปลี่ยนกัน” แทนที่จะพยายามผลิตทุกอย่างเองหลังกำแพงภาษี เพราะการทำเช่นนั้นหมายถึงการต้องแบ่งทรัพยากรไปทำในสิ่งที่ไม่เชี่ยวชาญ ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพ
ภายใต้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ใหม่นี้ ภาษีนำเข้าถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะมันบิดเบือนการตัดสินใจและขัดขวางการค้าที่จะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
ยุคหลังสงครามโลก
แม้แนวคิดการค้าเสรีจะได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แต่สงครามโลกครั้งที่ 1 และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ก็ทำให้แนวคิดชาตินิยมทางการค้าและกำแพงภาษีกลับมามีบทบาทอีกครั้ง
แต่หลังจากความหายนะของสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาติต่างๆ ก็เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง นำไปสู่ยุคเฟื่องฟูของการค้าเสรีอีกครั้ง มีการก่อตั้งองค์กรและข้อตกลงสำคัญๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น
- GATT (General Agreement on Tariffs and Trade) ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็น องค์การการค้าโลก (World Trade Organization – WTO) ในปี 1995 โดยมีเป้าหมายหลักคือการส่งเสริมการค้าเสรี ลดกำแพงภาษีและอุปสรรคทางการค้าอื่นๆ ภายใต้กรอบกติกาที่เป็นสากล
- ข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreements – FTAs) ระดับภูมิภาค เช่น ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA – ปัจจุบันคือ USMCA) และสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งมุ่งลดหรือยกเลิกภาษีระหว่างประเทศสมาชิก
เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์
กระแสลมแห่งการค้าเสรีก็เริ่มเผชิญกับแรงต้านในช่วงทศวรรษ 2010 เป็นต้นมา เริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของโลกาภิวัตน์และข้อตกลงการค้าเสรี ปรากฏการณ์สำคัญที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงนี้คือ
- Brexit (ปี 2016) สหราชอาณาจักรลงประชามติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป ซึ่งส่วนหนึ่งมีแรงขับเคลื่อนมาจากความต้องการควบคุมพรมแดนและนโยบายการค้าของตนเอง
- นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ การชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของทรัมป์ มาพร้อมกับนโยบายที่ชัดเจนในการใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือต่อกรกับประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีนและเม็กซิโก
กลุ่มผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ข้อตกลงการค้าเสรีมักให้เหตุผลว่า มันบ่อนทำลายอำนาจอธิปไตยของชาติ ทำให้เกิดการแข่งขันเพื่อกดค่าแรง สวัสดิการ และมาตรฐานสิ่งแวดล้อมให้ต่ำลง (Race to the Bottom) และทำให้คนในประเทศตกงาน ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนการค้าเสรีก็โต้แย้งว่า ภาษีนำเข้าจะนำไปสู่สงครามการค้าที่ทำร้ายผู้บริโภค ขัดขวางนวัตกรรม และทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ประวัติศาสตร์ของภาษีนำเข้าจึงเป็นเหมือนลูกตุ้มที่แกว่งไปมาระหว่างแนวคิดการปกป้องตนเองกับแนวคิดการเปิดเสรี ซึ่งการถกเถียงนี้ยังคงดำเนินต่อไปในปัจจุบัน
กรณีศึกษาและเสียงสะท้อนของสังคม
เพื่อให้เห็นภาพการใช้ภาษีนำเข้าและผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองมาดูตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม ทั้งจากหน้าประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ร่วมสมัยที่หลายคนอาจยังจำได้ดี
กรณี ทรัมป์
ในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา นโยบาย “America First” ได้นำไปสู่การใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างเข้มข้น โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อลดการขาดดุลการค้าและปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ตัวอย่างสำคัญได้แก่
- ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และอะลูมิเนียม 10% จากหลายประเทศ (แม้จะมีการยกเว้นให้บางประเทศ เช่น แคนาดาและเม็กซิโกในภายหลัง) โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ
- ภาษีสินค้าจีน ความขัดแย้งทางการค้ากับจีนทวีความรุนแรงขึ้น สหรัฐฯ ทยอยประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนหลายระลอก คิดเป็นมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ ด้วยอัตราภาษีที่สูงขึ้นเรื่อยๆ บางรายการพุ่งสูงถึง 104% (ตามข้อมูลจาก BBC) โดยมีเป้าหมายเพื่อกดดันจีนในประเด็นการค้าที่ไม่เป็นธรรมและการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา
การตัดสินใจเหล่านี้ส่งผลสะเทือนไปทั่วโลก และก่อให้เกิดเสียงสะท้อนและการตอบโต้อย่างรวดเร็ว
- จีน ตอบโต้ทันควันด้วยการประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงขึ้นเช่นกัน จุดชนวนสงครามการค้าเต็มรูปแบบ
- สหภาพยุโรป (EU) เตือนถึงผลกระทบที่ร้ายแรงต่อเศรษฐกิจโลก และเตรียมรายการสินค้าจากสหรัฐฯ ที่จะถูกเก็บภาษีตอบโต้
- แคนาดา:แม้จะเป็นพันธมิตรใกล้ชิดและได้รับการยกเว้นบางส่วนในตอนแรก แต่ก็ได้รับผลกระทบและตอบโต้ เช่น การเก็บภาษี 25% กับรถยนต์บางประเภทจากสหรัฐฯ
- ประเทศอื่นๆ
- ญี่ปุ่นแสดงความเสียใจอย่างยิ่ง มองว่าอาจขัดต่อข้อตกลง WTO
- เกาหลีใต้มองว่า “สงครามการค้าโลกได้กลายเป็นความจริงแล้ว”
- ออสเตรเลียกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่การกระทำของมิตร”
กรณีของทรัมป์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การใช้ภาษีนำเข้าในโลกยุคปัจจุบันที่มีห่วงโซ่อุปทานเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อนนั้น สามารถนำไปสู่ความตึงเครียดทางการค้า การตอบโต้ และความผันผวนทางเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว แม้จะมีเป้าหมายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ในประเทศ แต่ผลลัพธ์ที่ตามมามักซับซ้อนและส่งผลกระทบในวงกว้าง
ตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ ภาษีชา (Boston Tea Party)
ย้อนไปไกลกว่านั้น เหตุการณ์ “Boston Tea Party” ในปี 1773 ก็มีจุดเริ่มต้นมาจากความไม่พอใจของชาวอาณานิคมอเมริกาต่อภาษีชาที่อังกฤษเรียกเก็บ การประท้วงด้วยการโยนชาลงทะเลในครั้งนั้น กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการต่อต้านอำนาจที่ไม่เป็นธรรม และเป็นชนวนหนึ่งที่นำไปสู่สงครามปฏิวัติอเมริกา นี่เป็นเครื่องย้ำเตือนว่า ภาษี (โดยเฉพาะภาษีนำเข้า) ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่สามารถกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงได้เสมอ
กลไกและผลกระทบของกำแพงภาษีที่มองไม่เห็นนี้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่ต้องการติดตามและเข้าใจพลวัตของการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน
คำสำคัญ Keywords
ภาษีนำเข้า (Tariff), การค้า (Trade), การนำเข้า (Import), การส่งออก (Export), สงครามการค้า (Trade War), การปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ (Protecting Domestic Industries), รายได้รัฐบาล (Government Revenue), ผู้บริโภค (Consumers), ข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreements), องค์การการค้าโลก (WTO)